Wyckoff in Depth - Part I
ทำไมต้องศึกษา Wyckoff Logic?
การศึกษาและการวิเคราะห์ตลาดตามหลัก Wyckoff เป็นวิธีที่มีความยืดหยุ่นและสามารถใช้กับทุก Timeframe โดยการวิเคราะห์โครงสร้างของตลาดนั้นแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอนหลัก
บริบท (Context): บริบทของตลาดคือ ตลาดกำลังอยู่ในช่วงไหน ขาขึ้น ขาลง Sideway ออกข้าง การศึกษาบริบทของตลาด ซึ่งจะให้ความสำคัญกับโครงสร้างตลาดใน Timeframe หลักก่อนแล้วค่อยเจาะลึกลงไปใน Timeframe ที่เล็กลงไป
โครงสร้าง (Structures): การวิเคราะห์โครงสร้างตลาด คือการค้นหาใครคือผู้ที่กำลังควบคุมตลาดอยู่ระหว่างฝ่ายซื้อและฝ่ายขาย
พื้นที่การซื้อขาย (Trading Areas): โซนซื้อขายนั้นเป็น Action ที่เกิดขึ้นโดยใช้ผลลัพท์จากการวิเคราะห์โครงสร้างตลาด เพื่อสร้างความได้เปรียบด้านต้นทุน
การวิเคราะห์ตามหลักการของ Wyckoff จะช่วยให้เข้าใจในการเคลื่อนไหวของตลาด และช่วยให้การตัดสินใจในการซื้อขายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ คือถูกตัว ถูกเวลา ในราคาที่เหมาะสม
When one wave ends, another wave starts in the opposite direction. We learn the pattern of waves to determine the nature of the trend.
การเคลื่อนที่ของราคาหุ้นนั้นไม่ได้เป็นเส้นตรงแต่มันมีลักษณะเป็นคลื่น แต่ละช่วงของคลื่นราคานั้นใช้เวลาไม่เท่ากัน การศึกษาความสัมพันธ์ของคลื่นแต่ละลูกจึงต้องประกอบไปด้วย ช่วงเวลา ความเร็ว และความสูง การวิเคราะห์คลื่นราคานั้นช่วยให้เรามองเห็นภาพใหญ่ของตลาดได้ชัดเจนยิ่งขึ้น สามารถคาดเดาจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของคลื่นได้
THE PRICE CYCLE
ตลาดนั้นมีโครงสร้างหลักอยู่ 2 อย่างคือ
- Trends หรือ ทิศทางตลาด โดยเทรนนั้นมีอยู่ 3 รูปแบบคือ ขาขึ้น ขาลง และ Sideway
- Trading Ranges, กรอบการซื้อขาย ถ้าอยู่ต้นรอบของ cycle หรือโซนล่างของกราฟ จะเป็นช่วงสะสมหุ้น หรือ accumulation แต่ถ้าเป็นปลายรอบหรือโซนบนของกราฟจะเป็นช่วงกระจายหุ้น หรือ distribution
![](https://blog.dev-sync.com/content/images/2024/06/image.png)
ในช่วง Accumulation เทรดเดอร์มืออาชีพจะซื้อหุ้นที่ขายอยู่ในตลาดจนกว่าแรงขายจะหมด แรงซื้อจะทำให้ราคายกตัว แต่ราคาที่ยกตัวขึ้นจะไม่ไปดันแนวต้านมากนัก เพื่อป้องกันไม่ให้ราคาดีดสูงเกินไป การทดสอบแนวต้านนั้นจะเกิดขึ้นเป็นรอบ ๆ ถ้าหากแรงขายยังหนาแน่น มันจะกดราคาให้กลับตัวลงไปยังแนวรับ ก่อให้เกิดเป็นกรอบซื้อขาย แต่เมื่อราคาเบรคกรอบซื้อขายนี้ ก็จะเป็นจุดเริ่มต้นของเทรน
ในช่วยที่ตลาดอยู่ในขาขึ้น ความต้องการซื้อจะมากกว่าความต้องการขาย เพราะคนในตลาดเริ่มเห็นความเป็นเทรนที่ชัดเจนขึ้นและโดดเข้าร่วมวง มันจะดันราคาให้สูงขึ้นเรื่อย และเมื่อราคาวิ่งไปถึงระดับที่น่าพึงพอใจในกำไร เทรดเดอร์มืออาชีพจะะเริ่มขายหุ้นออกสู่ตลาด เป็นการเริ่มต้นของช่วงกระจายหุ้นหรือ Distribution phase การกระจายหุ้นในมือจำนวนมากนั้นจำเป็นต้องใช้เวลา เพราะหากขายเยอะหรือเร็วเกินไปจะทำให้ราคาตก และเมื่อเวลาผ่านไป มันจึงเกิดเป็นกรอบซื้อขายที่มองเห็นได้ชัดเจน
แต่หากแรงขายที่แนวต้านนั้นลดลงเรื่อย ๆ แต่แรงซื้อยังคงสูงจนดันราคาทะลุแนวต้านขึ้นไป โครงสร้างราคาแบบนี้เรียกว่า ReAccumulation ในตลาดขาลงก็เช่นกัน หากราคาลงไปถึงจุดหนึ่งแล้วเกิดการรีบาวด์สร้างเป็นกรอบซื้อขาย แล้วราคาทะลุแนวรับลงไป เราสามารถระบุได้ว่ากรอบซื้อขายนี้เป็นช่วง ReDistribution
ดังนั้นวงจรราคาจึงประกอบด้วย ช่วงสะสมหุ้น ช่วงขาขึ้น ช่วงกระจายหุ้น และช่วงขาลง ซึ่งวงจรราคานั้นเกิดขึ้นในทุกกรอบเวลา Timeframe และในแต่ละ timeframe นั้นอาจจะอยู่ในช่วงที่แตกต่างกัน เพราะฉะนั้นผลการวิเคราะห์จะแม่นยำได้ จำเป็นต้องวิเคราะห์หลาย timeframe ประกอบกัน และเมื่อใหร่ก็ตามที่เราสามารถระบุช่วงเวลาของราคาหุ้นได้ ข่าวจริง ข่าวลือ ความเห็นของคนอื่นนั้นแทบจะไม่มีผลต่อการตัดสินใจของเราอีกต่อไป
TRENDS
คลื่นนั้นเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้น โดยเทรนนั้นเกิดขึ้นจากกลุ่มของคลื่นที่เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน คลื่นนั้นประกอบด้วยสองช่วงสำคัญคือ ช่วงที่ยกตัวสูงขึ้นเรียกว่า Impulses และช่วงที่ลดต่ำลง เรียกว่า Reversals เทรนคือเส้นที่ลากเชื่อมระหว่างแนวต้านสองจุด และแนวรับทั้งสองจุด โดยเทรนนั้นแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบคือ ขาขึ้น ขาลง และ Sideway ออกข้าง สิ่งที่เป็นตัวบ่งบอกว่าเป็นตลาดนั้นเป็นเทรนขาขึ้น คือคลื่นราคานั้นมีการทำจุดสูงสุดและต่ำสุดสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ หรือกล่าวอีกแบบคือราคามีการยก high ยก low ในทางตรงกันข้าม ซึ่งในทางเทคนิคเรียกว่า Higher High, Higher Low หรือเรียกสั้น ๆ ว่า HH, HL ในขาลงนั้นคลื่นราคาจะทำจุดสูงสุดและต่ำสุด ลดต่ำลงไปเรื่อย ๆ หรือในทางเทคนิดเรียกว่า ทำ Lower High, Lower Low โดยทั่วไปจะเรียกสั้น ๆ ว่า LH, LL
![](https://blog.dev-sync.com/content/images/2024/06/image-1.png)
โดยเทรนนั้นถูกแบ่งตามช่วงระยะเวลาออกเป็น 3 ช่วงคือ เทรนระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว กรอบเวลาที่ใช้แบ่งระยะของเทรนนั้นไม่ได้มีการกำหนดตายตัว ขึ้นอยู่กับลักษณะการเทรดของแต่ละบุคคล เทรนในกรอบเวลาทั้งสามนั้นอาจจะไม่ได้วิ่งไปในทิศทางเดียวกัน ดังนั้นการกำหนดรูปแบบการเทรดล่วงหน้าจึงสำคัญมาก เลือกรูปแบบการเทรดเพื่อค้นหาจังหวะเวลาที่จะเข้าเทรดหรือ timing ที่ได้เปรียบ ยิ่งเทรดสั้นเท่าไหร่จังหวะการเข้าทำยิ่งต้องแม่นยำมากยิ่งขึ้น
ASSESSING TRENDS
การประเมินความแข็งแกร่งของเทรน การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นนั้นเกิดจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายในตลาด การประเมินความแข็งแกร่งของเทรนนั้นมีเพียงวัตถุประสงค์เดียวคือเพื่อหาว่าฝ่ายใหนที่มีความแข็งแรงกว่า การเทรดตามฝั่งที่แข็งแรงกว่านั้นมีโอกาสชนะที่สูงกว่า
วิธีประเมินที่ดีที่สุดคือดูจากการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นก่อนหน้า ความอ่อนแอของราคานั้นอาจไม่ได้หมายถึงการเปลี่ยนเทรน แต่เป็นการส่งสัญญาณความอ่อนแอของเทรนเพื่อให้เราเตรียมตัวรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันไกล้
การประเมินความแข็งแรงนั้นมีหลากหลายวิธี แต่กุญแจสำคัญคือการเปรียบเทียบ แต่ผลลัพท์ของการเปรียบเทียบนั้นไม่ใช่สิ่งที่เรามองหา สิ่งที่เราต้องการคือความแตกต่างของการเคลื่อนไหวของราคาระหว่างปัจจุบันกับอดีต
Speed: ความเร็วในที่นี้อ้างอิงถึงมุมองศาของการเคลื่อนที่ของราคา ถ้าราคาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น นั่นเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง ในทางตรงกันข้าม หากการเคลื่อนใหวของราคาใช้ระยะเวลาที่ยาวนั้น นั่นเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนแอของเทรน
![](https://blog.dev-sync.com/content/images/2024/06/image-2.png)
Projection: เปรียบเทียบจากความสูงของ impulses ปัจจุบันเทียบกับ impulses ก่อนหน้า ถ้าความสูงมันเพิ่มขึ่นแสดงให้เห็นถึงความแข็งแรง แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้ามันลดลงจะแสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอของเทรน
![](https://blog.dev-sync.com/content/images/2024/06/image-3.png)
Depth: เปรียบเทียบความลึกของ reversals ลึกเท่าไหร่ หมายถึงเทรนยิ่งอ่อนแอเท่านั้น. โดยการวัดความลึกนั้นทำได้สองแบบคือ วัดความลึกจากจุดสูงสุดล่าสุดถึงจุดต่ำสุดล่าสุด หรือ วัดความสูงจากจุดต่ำสุดปัจจุบันกับจุดต่ำสุดก่อนหน้า
![](https://blog.dev-sync.com/content/images/2024/06/image-4.png)
Trend Line การตีเส้นเทรนไลน์คือการลากเส้นเชื่อมจากตำแหน่งของราคาสองจุด ในขาลงจะลากจากจุดสูงสุดสองจุดโดยเส้นที่ได้จะเป็นเส้นแนวต้านหรือเรียกอีกอย่างว่า Bid Line เพราะเป็นจุดที่คาดว่าฝ่ายขายจะปรากฏตัวเมื่อราคามาถึงจุดนี้ ส่วนในเทรนขาขึ้น จะใช้การลากเส้นเชื่อมระหว่างจุดต่ำสุดสองจุด เส้นที่ได้เรียกว่า Demand line เพราะว่าเป็นจุดที่คาดว่าฝ่ายซื้อจะเข้าซื้อเมื่อราคามาถึงบริเวณนี้ ความเข็งแรงของเส้นเทรนไลน์นั้นวัดได้จากจำนวนครั้งที่ราคาวิ่งเข้ามาสัมผัสแล้วเด้งกลับไปในทางตรงข้าม ยิ่งมากครั้งก็ยิ่งแข็งแกร่ง แต่หากราคาวิ่งทะลุข้ามเส้นนี้ นั้นแสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอของเทรน การเบรคเทรนนั้นสำคัญ แต่สิ่งสำคัญกว่าคือมันเบรคยังไง ภายใต้เงื่อนใขไหน พฤติกรรมราคาเป็นอย่างไร
![](https://blog.dev-sync.com/content/images/2024/06/image-5.png)
Channels เมื่อลากเส้น Bid line กับ Demand line คู่กันจะเกิดเป็นกรอบราคาซึ่งเรียกว่า Trend channel เราสามารถใช้ทั้งสองเส้นนี้กำหนดจุด overbought กับ oversold หากราคาวิ่งทะลุไปด้านใดด้านหนึ่ง
![](https://blog.dev-sync.com/content/images/2024/06/image-6.png)
หลังจากได้เส้น Demand Line หรื Supply Line เส้นใดเส้นหนึ่งแล้ว สามารถใช้จุดยอดตรงข้ามเป็นจุดกำหนดเส้นขนานเพื่อสร้างเป็นกรอบราคา ยกตัวอย่างจากภาพด้านล่างคือ เมื่อได้เส้นที่เชื่อมระหว่างยอด 1 กับยอด 2 แล้วสามารถสร้างเส้นตรงที่ขนานไปกับเส้นที่ได้โดยตำแหน่งของเส้นนั้นอยู่ ณ จุดยอดตรงข้าม ซึ่งก็คือจุด 3
![](https://blog.dev-sync.com/content/images/2024/06/image-7.png)
TRADING RANGES
ตลาดนั้นมีอยู่สามทิศทางคือ ขาขึ้น ขาลง และ sideway และระยะเวลาส่วนใหญ่ของตลาดนั้น (ประมาณ 75%) จะอยู่ในช่วง Sideway
Trading ranges นั้นเป็นกรอบที่แสดงให้เห็นถึงความสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานในตลาด มันเป็นช่วงสะสมหรือกระจายหุ้นเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับก้าวต่อไป
![](https://blog.dev-sync.com/content/images/2024/06/image-8.png)
การวิเคราะห์ตลาดช่วงนี้จึงสำคัญมาก เพราะนั้นมันเป็นต้นทางของเทรน ไม่ว่าจะเป็นขาขึ้นหรือขาลง ความแม่นยำจะช่วยให้เราเทรดอยู่ในฝั่งที่แข็งแกร่งกว่า ซึ่งแน่นอนว่ามีโอกาสชนะมากกว่า ดังนั้นวิธีการวิเคราะห์ตลาดของ Wyckoff จะช่วยให้เราคาดเดาทิศทางในอนาคตของตลาดได้แม่นยำขึ้น โดยการวิเคราะห์เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงของตลาด Sideway เทรนที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้นั้นแปรผันโดยตรงกับระยะเวลาที่ตลาดอยู่ในช่วง Sideway กล่าวคือ ยิ่งช่วงเวลา Sideway นานเท่าไหร่เทรนที่เกิดหลังจากนี้จะไปได้ไกลและนานเท่านั้น ในทางกลับกันยิ่ง Sideway สั้น เทรนที่เกิดขึ้นก็จะสั้นตาม