สัจธรรม 7 ประการของผู้ชนะ
กมฺมุนา วตฺตตีโลโก - สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
ชะตาชีวิตไม่ใช่เรื่องของโชค ลาภ หรือวาสนาใดๆ แต่เป็นผลกรรมหรือการกระทำของแต่ละคน ดังนั้นชะตาชีวิตของแต่ละคนจึงขึ้นอยู่กับการตัดสินใจเลือก อยากเป็นคนแบบไหน อยากมีอนาคตอย่างไร ล้วนอยู่ที่เราตัดสินใจเลือกเอง แต่ก่อนจะถึงจุดนั้น เราต้องค้นหาความเชื่อที่ทรงพลังพอที่จะผลักดันให้เราเชื่อว่าเราเลือกได้ก่อน สัจธรรม 7 ประการนี้เป็นหัวใจสำคัญของวิธีคิดแบบผู้ชนะ กระบวนคิดที่จะทำให้ประสบความสำเร็จในทุกๆ ด้าน
Truth 1: Winning is a CHOICE
Yesterday is not ours to recover, but tomorrow is ours to win or lose. -LYNDON B. JOHNSON
ความหวังนั้นไม่ใช่กลยุทธ์ที่จะนำไปสู่ชัยชนะ ผู้ชนะไม่เชื่อในเรื่องของโชค เขาเหล่านั้นเชื่อเพียงความเพียรพยายาม ดังนั้นเมื่อจะทำอะไร จะมุ่งมั่นตั้งใจทำอย่างเต็มที่ ลองถามตัวคุณเองว่าเชื่อประโยคนี้หรือไม่? แพ้หรือชนะนั้นล้วนเป็นผลมาจากการกระทำของเรา ถ้าคำตอบคุณคือไม่เชื่อ แสดงว่าคุณไม่เชื่อว่าจะสามารถควบคุมชีวิตตนเองได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณได้มานั้นมาจากความโชคดี หรือความเมตตาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มองไม่เห็น พลังที่แท้จริงของการเชื่อว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นเป็นผลมาจากการกระทำ คือ การตระหนักรู้ว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันเรานั้น มันเลือกได้
เมื่อตระหนักรู้ว่าแพ้หรือชนะนั้นเลือกได้ ทำไมถึงไม่เลือกที่จะเป็นผู้ชนะ? สาเหตุที่สำคัญคือ ความกลัว ที่ปิดกั้นไม่ให้เราทำในสิ่งที่อยากทำ ไม่ให้เราไปในจุดที่เราอยากอยู่ และความกลัวที่สำคัญที่สุดคือ กลัวความล้มเหลว
Controlling the Controllable เราควบคุมโลกไม่ได้ แต่เราควบคุมตัวเองได้ ชีวิตนั้นไม่ได้บังคับให้เราต้องควบคุมตัวเอง แต่มันเปิดโอกาสให้เราควบคุม แต่ก่อนอื่นเราต้องแยกแยะก่อนว่าอะไรที่ควบคุมได้ และอะไรควบคุมไม่ได้ แล้วเขียนออกมาเป็นรายการเพื่อที่จะได้โฟกัสเฉพาะในสิ่งที่อยู่ในการควบคุม บางคนเลือกที่จะโฟกัสในสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ นั่นเป็นต้นเหตุที่ทำให้คนเหล่านี้ไม่มีความสุขในชีวิต มันไม่มีเหตุผลที่จะไปจดจ่ออยู่กับสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ ผู้ชนะนั้นใช้เวลา พลังงาน และทุกสิ่งทุกอย่างที่มีโฟกัสในสิ่งที่สามารถควบคุมได้ และไม่ถูกครอบงำด้วยสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ เลือกที่จะเป็นผู้ชนะ หมายถึงเลือกโฟกัสในสิ่งที่ตนเองควบคุมได้
Truth 2: You own it all
Past and Future are depend on Now. Your decision build both in spontaneously. - me
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตนั้นล้วนเป็นผลมาจากตัวเราเองที่เป็นผู้สร้างมันขึ้นมา เราเป็นเจ้าของชีวิตของเราเอง เมื่อเราเข้าใจจุดนี้ เราจะรู้ว่าการมีชีวิตอยู่นั้นไม่ใช่เพื่อค้นหาตนเองหรือค้นหาความสุข แต่เป็นการสร้างตัวตนของเราเองขึ้นมา และเมื่อเราเป็นเจ้าของชีวิตของเรา เราก็ต้องรับผิดชอบต่อชีวิตของเราเอง ทุกอย่างที่เราตัดสินใจทำลงไปนั้นเป็นความรับผิดชอบของตัวเราเองทั้งสิ้น เมื่อเรายอมรับความผิดพลาดและเลิกโยนความผิดให้ผู้อื่น มันจะกลายเป็นพลังในการก้าวต่อไปเพื่อสร้างสรรค์ชีวิตในแบบที่เราต้องการ
การใช้ชีวิตนั้นไม่ต่างไปจากการขับรถ เราจำเป็นต้องมองไปข้างหน้าเสมอ แต่บางคนกลับเอาแต่จ้องมองกระจกมองหลัง จ่อมจมอยู่กับอดีตจนลืมคิดถึงอนาคต อดีตนั้นเป็นเพียงความทรงจำ อนาคตนั้นเป็นเพียงจินตนาการ มีเพียงสิ่งเดียวที่เป็นจริง คือปัจจุบัน และสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ณ ขณะนี้นั้นเป็นสิ่งที่สร้างทั้งอดีตและอนาคตพร้อม ๆ กัน ทำดีก็มีอดีตที่น่าจดจำ มีอนาคตที่สดใส ทำไม่ดีก่อเกิดอดีตที่ไม่อยากหวนระลึก อนาคตที่หม่นมัว ทั้งอดีตและอนาคต ต่างก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจ ณ ปัจจุบัน และคนที่มีอำนาจตัดสินใจคือตัวเรา ดังนั้น ความรับผิดชอบทั้งหมดจึงเป็นของเรา หาใช่ของใครอื่นไม่
Truth 3: Great achievements is a process
เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ ทำทีละอย่าง - คำสอนโบราณ
มีมุกตลกที่เริ่มต้นด้วยคำถามว่า "คุณจะกินช้างทั้งตัวได้อย่างไร?" ประโยคเด็ดของมุกนี้คือ "ก็กินมันทีละคำ" ความสำเร็จก็เช่นกัน มันคือกระบวนการ ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่นั้นประกอบขึ้นมาจากความสำเร็จย่อย ๆ จำนวนมากที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และจำเป็นต้องใช้เวลาบ่มเพาะ ไม่อาจเกิดขึ้นได้ในชั่วข้ามคืน คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่มีเหมือนกันคือสิ่งที่เรียกว่า "Builder" ซึ่งก็คือการมีวินัยและหลักการในการดำเนินชีวิต เขาเหล่านั้นเชื่อมั่นว่าผลลัพธ์ที่ดีนั้นเกิดจากกระบวนการที่ถูกต้อง เขาเหล่านั้นมองความผิดพลาดที่เกิดขึ้นเป็นบทเรียนที่มีคุณค่าต่อการศึกษาเรียนรู้ คำถามแรกที่คนเหล่านี้ถามเมื่อเกิดความผิดพลาดคือ ได้บทเรียนอะไรจากความผิดพลาดนี้? ก่อนที่จะถามว่าทำไมถึงผิดพลาด แต่ความคิดของคนส่วนใหญ่นั้นจะตรงกันข้ามกับ Builder หรือเรียกอีกอย่างว่า Wrecking balls คือคนที่ไม่มีวินัยหรือหลักการอะไรเป็นบรรทัดฐานในการดำเนินชีวิต ซึ่งนั่นทำให้คนเหล่านี้ทำอะไรตามใจตัวเอง อ่อนแอ ยอมแพ้ง่าย และมักจะชอบโยนความผิดเมื่อมีความผิดพลาดเกิดขึ้น โทษฟ้า โทษดิน โทษทุกคนยกเว้นตัวเอง
การกระทำของคนนั้นเกิดจากกระบวนการตัดสินใจสองรูปแบบคือ หัว-ใจ-กาย และ ใจ-กาย-หัว, หัวคือสมอง ใจคือจิตสำนึก กายคือการลงมือทำ - พุทธธรรม
The Power to Create, the Power to Destroy
เราทุกคนนั้นมีอัตลักษณ์ทั้งสองแบบอยู่ในตัวโดยธรรมชาติ เหมือนกับที่เรามีรักมีเกลียด มีสิ่งที่ชอบและไม่ชอบ เราจะให้อัตลักษณ์ไหนเป็นตัวกำหนดชีวิตนั้นเป็นการตัดสินใจเลือกของเราเอง ดังเช่นนิทานเรื่องหมาป่าในใจ ที่ผู้เขียนยกมาเป็นตัวอย่าง ความว่า เราทุกคนมีหมาป่าอยู่ในใจสองตัว ตัวหนึ่งสงบ เชื่อง อีกตัวดุร้ายและเหี้ยมโหด ถ้าสองตัวนี้สู้กันตัวไหนจะชนะ คำตอบคือ ตัวที่เราให้อาหาร อยากมีอัตลักษณ์แบบ Builder หรือ Wrecking ball นั้นเป็นสิ่งที่เราเลือกได้
คิดถึงแต่ชัยชนะ คุณจะแพ้ คิดถึงกระบวนการที่จะนำไปสู่ชัยชนะ ถึงจะชนะอย่างแท้จริง
Truth 4: Every result contains a lesson
คำว่า "ล้มเหลว" นั้นเป็นคำที่บัญญัติขึ้นมาเพื่อใช้ตัดสินหรือแสดงความเห็นในเรื่องต่าง ๆ ซึ่งแท้ที่จริงแล้วมันเป็นเพียงภาพลวงตา ความล้มเหลวนั้นไม่มีอยู่จริง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตนั้นล้วนแต่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ ผลลัพธ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็น แพ้ ชนะหรือเสมอ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งบ่งชี้ว่าตอนนี้เราอยู่ในส่วนไหนของกระบวนการ การเรียนรู้จากผลลัพธ์เหล่านี้ของเราเองนั้นเป็นสิ่งที่มีค่ามีความหมายและที่สำคัญคือมันเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ
สำหรับการใช้ชีวิตแล้ว เราทุกคนไม่อาจหลีกเลี่ยงความผิดพลาด แต่ไม่ทุกคนที่เลือกที่จะเรียนรู้จากความผิดพลาดที่เกิดขึ้น
ผลลัพธ์ ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว ต่างล้วนให้บทเรียนบางอย่างแก่เรา สำเร็จถือเป็นรางวัล ล้มเหลวถือเป็นบททดสอบ ยิ่งเราผ่านมันมาได้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น
What does not kill us, makes us stronger - Friedrich Nietzsche
Truth 5: Willingness is more important than desire
The willingness to do creates the ability to do. - PETER McWILLIAMS
เราทำไม่ได้ หรือเราไม่อยากทำ ถ้าเรายังไม่ประสบความสำเร็จ นั่นหมายความว่ามันมีบางอย่างที่เรายังไม่ได้ทำ ไม่ได้ทำ ไม่ได้หมายความว่าทำไม่ได้ แต่หมายความว่าเราไม่อยากทำมัน เราหลีกเลี่ยงมัน มีคำพูดหนึ่งกล่าวไว้ว่า "เราทุกคนอยากขึ้นสวรรค์ แต่ไม่มีใครอยากตาย" เราจะทำฝันให้เป็นจริงได้อย่างไรถ้าเราไม่เต็มใจและตั้งใจทำ ขอเพียงตั้งใจ ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ เราต้องเชื่อมั่นว่าความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่จะเกิดขึ้นได้นั้นต้องผ่านกระบวนการต่าง ๆ มากมาย ผ่านระยะเวลาที่เนิ่นนานแบบค่อยเป็นค่อยไป ดังเช่นต้นไม้ใหญ่ที่เติบโตสูงขึ้นทีละเซนต์ทีละนิ้ว สิ่งที่เราต้องโฟกัสคือ ก้าวถัดไป ไม่ใช่ผลลัพท์สุดท้าย
ทุกคนอยาเป็นผู้ชนะ แต่คนที่กล้าเสี่ยงเท่านั้นถึงจะชนะจริง ๆ ความรู้แต่เพียงอย่างเดียวนั้นไม่ช่วยอะไร รู้แล้วต้องลงมือทำ มิฉะนั้นตัวเราจะรู้สึกไม่มีความสุขและกลายเป็นความรู้สึกล้มเหลวในที่สุด จงลงมือตั้งเป้าหมายของชีวิตและก้าวเดินออกไปใช้ชีวิตตามที่ฝัน
Truth 6: Records are meant to be broken by people just like you
สถิติมีไว้ทำลาย, และคนที่สร้างสถิติเหล่านั้นได้แผ้วถางเส้นทางไว้ให้ชนรุ่นหลังเป็นที่เรียบร้อย หน้าที่ของเราคือก้าวข้ามสถิติเหล่านั้นและแผ้วถางเส้นทางต่อไปข้างให้ไว้ให้ชนรุ่นถัดไป ด้วยกระบวนการที่ถูกต้อง และพลังแห่งความศรัทธาในความเชื่อที่เรามี ทุกสถิติที่ชนรุ่นก่อนสร้างไว้ย่อมสามารถถูกทลายลงได้ และสถิติที่เราสร้างขึ้นมาใหม่ ย่อมถูกทำลายลงในสักวันหนึ่งโดยชนรุ่นหลังเช่นเดียวกัน
Impossible only exists until someone does it
เราเคยเชื่อว่าไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถวิ่งได้เร็วกว่า 4 นาทีต่อไมล์ และสถิตินี้ได้ถูกทำลายลงในปี 1954 โดย Roger Bannister ด้วยเวลา 3 นาที 59.4 วินาที ถัดมา 56 วัน นักวิ่งชาวออสเตรเลีย John Landy ทำลายสิถิติด้วยเวลา 3 นาที 57.9 วินาที และภายในสามปีหลังจากนั้นมีนักวิ่งถึง 16 คนที่ทำเวลาต่ำกว่า 4 นาทีต่อไมล์ได้สำเร็จ สาเหตุนั้นไม่ได้เกิดจากการวิวัฒนาการทางกายภาพหรือกลายพันธุ์แต่อย่างใด แต่เกิดจากการทลายความเชื่อที่มี บ่อยครั้งที่อุปสรรคสำคัญต่าง ๆ นั้นอยู่ในรูปแบบของอุปสรรคทางความคิด ซึ่งส่งผลต่อการดำเนินชีวิตจริง ดังนั้นจงเชื่อมั่นเสมอว่าอะไรที่คนอื่นทำได้ เราก็ต้องทำได้ และทำได้ดีกว่า
Truth 7: It's never too late to become the person you always wanted to be
Nobody can go back and start a new beginning, but anyone can start today and make a new ending. —MARIA ROBINSON
"สายเกินไป", นั้นไม่มีอยู่จริง ไม่มีอะไรที่จะสายเกินไป ไม่มีใครที่แก่จนเกินเริ่มต้น Gladys Burrill เริ่มต้นวิ่งมาราธอนตอนอายุ 86 และคว้าแชมป์ Honolulu Marathon ตอนอายุ 92 Teiichi Igarashi พิชิตยอดภูเขาไฟฟูจิตอนอายุ 96 หลังจากนั้น 9 วัน Hulda Crooks ชาวอเมริกันจากแคริฟฟอเนียร์ในวัย 91 ปีทำลายสิถิติหญิงอายุมากที่สุดที่สามารถพิชิตภูเขาไฟฟูจิได้สำเร็จ
เราต้องเชื่อว่าเวลาและอายุนั้นไม่ใช่ข้อจำกัด และมันไม่มีการเริ่มต้นใดที่สายเกินไป ลองตั้งคำถามเหล่านี้กับตัวเองดู ถ้าเรายังค้นหาความเชื่อของเราไม่เจอ
- Do you believe that winning is a choice?
- Do you embrace a process and a journey as much as you do a destination?
- Do you really believe that anything anyone else can do, you can do as well?
- Are you committed to learning from every result you produce?
เริ่มจากการเชื่อมั่นในความสามารถของตัวเรา กำหนดเป้าหมายชีวิต จัดลำดับความสำคัญ และลงมือทำ
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือ Mindset Secrets for WINNING